Oct 8, 2025
หลายคนมองว่าการนอนกรนเป็นเรื่องธรรมดา แต่แท้จริงแล้ว การนอนกรนอาจลดปริมาณออกซิเจนที่ไปเลี้ยงสมอง ส่งผลให้สมาธิและความจำลดลง ในบางรายอาจเกิดภาวะนอนกรนหยุดหายใจ ทำให้ตื่นกลางดึกและรบกวนวงจรการนอนหลับ (sleep cycle) การสังเกตสัญญาณเหล่านี้ ปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุการนอนกรน และการทดสอบการทำงานของสมอง CogMate™ จึงเป็นก้าวแรกที่ช่วยป้องกันผลเสียต่อสมองในระยะยาว
การนอนกรนมักถูกมองข้าม เพราะหลายคนคิดว่าเป็นเรื่องปกติของการนอนหลับ แต่ความจริงแล้ว มันอาจบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพร้ายแรงที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเกี่ยวข้องกับภาวะนอนกรนหยุดหายใจหรือ Obstructive Sleep Apnea (OSA) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสมองและหัวใจได้อย่างรุนแรง (Mayo Clinic, July 14, 2023) เพื่อให้เห็นความแตกต่างชัดเจน CogMate™ ได้รวบรวมข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับนอนกรนธรรมดาและนอนกรนหยุดหายใจ พร้อมสาเหตุที่ควรรู้ เพื่อให้คุณเข้าใจและมองเห็นความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับสุขภาพ
การนอนกรนธรรมดาเกิดจากอากาศไหลผ่านทางเดินหายใจที่แคบ ทำให้เนื้อเยื่อในลำคอหรือเพดานอ่อนสั่นจนเกิดเสียง สาเหตุที่พบได้บ่อยคือ ความเหนื่อยล้า การดื่มแอลกอฮอล์ก่อนนอน หรือมีน้ำหนักตัวมาก โดยทั่วไปไม่อันตรายต่อสุขภาพ แต่ถ้าเกิดบ่อยอาจทำให้หลับไม่เต็มอิ่ม ตื่นมาไม่สดชื่น และรบกวนคนข้าง ๆ
สำหรับนอนกรนหยุดหายใจต่างจากการนอนกรนธรรมดา เพราะเป็นภาวะที่ทางเดินหายใจถูกอุดกั้น ทำให้หยุดหายใจหรือหายใจตื้นเป็นช่วง ๆ ส่งผลให้ร่างกายได้รับออกซิเจนน้อย ผู้ที่มีภาวะ OSA มักตื่นกลางดึก หายใจแรงหรือสะดุ้ง และหากปล่อยไว้นานจะเพิ่มความเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และภาวะสมองเสื่อม
ถึงหลายองค์กรจะสนับสนุนการทำงานหลายอย่างพร้อมกัน (Multitask) แต่การวิจัยจาก University of London (2009) พบว่าการทำงานหลายอย่างพร้อมกันลดความสามารถในการจำและประมวลผลข้อมูลอย่างมีนัยสำคัญ เพราะสมองต้องแบ่งพลังงานและทรัพยากร ส่งผลให้ลืมเรื่องง่าย ๆ และเพิ่มโอกาสทำงานผิดพลาด
มาถึงจุดสำคัญที่ทำให้ “นอนกรนธรรมดา” แตกต่างจาก “นอนกรนหยุดหายใจ” คือระดับความรุนแรงและผลกระทบต่อสุขภาพ โดยการกรนทั่วไปอาจเพียงทำให้การนอนไม่มีคุณภาพ แต่ภาวะ OSA หรือการหยุดหายใจขณะหลับถือเป็นภัยเงียบที่ส่งผลต่อสมอง หัวใจ และสุขภาพโดยรวมอย่างหนักหน่วง ดังนั้นหากมีอาการเข้าข่าย ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจและการรักษาที่เหมาะสม
ลักษณะกายวิภาค เช่น คางเล็ก เพดานโหว่ หรือต่อมทอนซิลโต ทำให้ทางเดินหายใจแคบขึ้น ส่งผลให้เกิดเสียงกรนง่ายขึ้น
ไขมันสะสมรอบลำคอ (Pharyngeal Fat) ทำให้ช่องทางหายใจแคบลง โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในท่านอนราบ ส่งผลให้การไหลเวียนของอากาศติดขัดและเกิดเสียงกรนได้ง่ายขึ้น (Sleep Foundation, July 15, 2025)
เมื่ออายุมากขึ้น กล้ามเนื้อรอบคอหย่อนคล้อยง่ายขึ้น ทำให้เนื้อเยื่อสั่นขณะหายใจและเกิดเสียงกรนบ่อย
โรคหรือภาวะที่เกี่ยวกับทางเดินหายใจ เช่น ภูมิแพ้เรื้อรัง ไซนัสอักเสบ หรือจมูกอุดตัน ทำให้ทางเดินหายใจตีบและเกิดการกรนได้ง่าย
ความเครียดไม่ใช่สาเหตุโดยตรง แต่เป็นตัวกระตุ้นให้นอนกรนรุนแรงขึ้น เพราะทำให้นอนหลับไม่สนิท ฮอร์โมนคอร์ติซอลสูงขึ้น และกล้ามเนื้อคอเกร็งมากกว่าปกติ อีกทั้งยังสัมพันธ์กับภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA) ที่มีการกรนเป็นสัญญาณร่วม
นอนกรนหรือนอนกรนหยุดหายใจบ่อย?
ทดสอบผลกระทบต่อสมองด้วย CogMate™ วันนี้!”
บางคนอาจคิดว่าการนอนกรนเป็นแค่เสียงรบกวนขณะนอน แต่สำหรับคนวัยทำงานที่พักผ่อนน้อย ใช้สมองหนัก และต้องทำงานต่อเนื่องทุกวัน การนอนกรนอาจเป็นสัญญาณเตือนปัญหาสุขภาพที่ซ่อนอยู่ หากปล่อยไว้นานอาจส่งผลเสียต่อสมองและร่างกาย
การนอนกรนเกิดจากการไหลเวียนของอากาศในลำคอถูกจำกัด ทำให้สมองได้รับออกซิเจนน้อยลง แม้เพียงเล็กน้อยหากสะสมเป็นเวลานาน จะส่งผลต่อความจำ สมาธิ และความสามารถในการทำงาน งานที่เคยทำคล่อง อาจเกิดข้อผิดพลาดง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังเสี่ยงต่อความเครียดสะสมและอารมณ์แปรปรวน (NCBI, Aug 12, 2013)
บางคนอาจมีภาวะนอนกรนหยุดหายใจ (Obstructive Sleep Apnea) คือการหยุดหายใจชั่วคราวหลายครั้งในคืนเดียว ทำให้ระดับออกซิเจนในเลือดลดลง ร่างกายต้องตื่นตัวอยู่ตลอด แม้ผู้ป่วยจะไม่รู้ตัว การหยุดหายใจขณะหลับนี้รบกวนวงจรการนอน( sleep cycle) ส่งผลให้สมองไม่ได้พักฟื้นเต็มที่ และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง สมองเสื่อม
การสังเกตสัญญาณเตือนและเข้าใจสาเหตุการนอนกรนเป็นก้าวแรกในการป้องกันผลเสียต่อสมองและร่างกายในระยะยาว การทำแบบทดสอบอายุสมอง CogMate™ จะช่วยให้ทราบถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น หากพบความผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินและหาทางรักษา
แม้การนอนกรนอาจดูเหมือนเรื่องธรรมดาระหว่างการหลับ แต่จริง ๆ แล้วอาจเป็นภัยเงียบที่ส่งผลต่อสมองและสุขภาพโดยรวม โดยเฉพาะในวัยทำงานที่สมองต้องใช้งานหนักทุกวัน โชคดีที่เราสามารถเริ่มดูแลสมองได้ตั้งแต่วันนี้ ด้วยวิธีง่าย ๆ ที่ช่วยลดความเสี่ยงสมองเสื่อมและป้องกันปัญหาในอนาคต ปัจจุบันการดูแลสุขภาพสมองทำได้ง่ายขึ้น ทั้งจากการปรับพฤติกรรมชีวิตและการใช้เครื่องมือช่วยตรวจคัดกรอง เช่น CogMate™ ที่สามารถประเมินและติดตามการเปลี่ยนแปลงของสมองได้อย่างต่อเนื่อง เมื่อผสานกับการตรวจสุขภาพสมองและการนอนกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ก็ยิ่งช่วยให้จัดการความเสี่ยงได้ตรงจุดและทันเวลา
การประเมินตัวเองเบื้องต้น เช่น ความจำระยะสั้น สมาธิ ความสามารถในการวางแผน หรือการจดจำเรื่องเล็ก ๆ จะช่วยให้คุณเห็นภาพความเสี่ยงของสมองได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ การทำแบบทดสอบการทำงานของสมองเป็นวิธีที่ง่ายและเห็นผล เช่น การใช้แพลตฟอร์ม CogMate™ ซึ่งช่วยติดตามการเปลี่ยนแปลงของสมองได้อย่างต่อเนื่อง และเป็นแนวทางในการปรับพฤติกรรมประจำวันเพื่อป้องกันสมองเสื่อมในระยะยาว
หากผลทดสอบพบความเสี่ยง หรือคุณมีอาการผิดปกติ เช่น นอนกรนหยุดหายใจขณะหลับ หรือง่วงกลางวันผิดปกติ การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นสิ่งสำคัญ แพทย์อาจใช้วิธีตรวจสมองหรือวัดระดับออกซิเจนในเลือดขณะนอนหลับ เพื่อประเมินผลกระทบจากการนอนกรนอย่างละเอียด การตรวจเชิงป้องกันนี้ช่วยให้คุณจัดการความเสี่ยงได้ทันเวลา ลดโอกาสเกิดปัญหาสุขภาพร้ายแรงในอนาคต
การปรับพฤติกรรมเล็ก ๆ ในชีวิตประจำวัน สามารถส่งผลดีต่อสมองอย่างมาก เช่น
ไม่ยากเลยที่จะเริ่มดูแลสมองวัยทำงานให้แข็งแรง เริ่มจากสังเกตตัวเองว่ามีอาการนอนกรน หรือแม้กระทั่งนอนกรนหยุดหายใจบ่อยแค่ไหน หากยังสงสัยว่า นอนกรนอันตรายไหม ลองทำแบบทดสอบอายุสมอง CogMate™ เพื่อตรวจสุขภาพสมองอย่างง่าย ๆ พร้อมปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และปรับพฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น นอนให้เพียงพอ ออกกำลังกาย และจัดสภาพแวดล้อมการนอนให้เหมาะสม สิ่งเหล่านี้ช่วยลดผลกระทบจากสาเหตุการนอนกรนและป้องกันสมองเสื่อมในระยะยาว เริ่มดูแลตั้งแต่วันนี้ เพื่อสมองที่แข็งแรงและสดใสในวันพรุ่งนี้
นอนกรนบ่อย? ตรวจสมองกับ CogMate™
รู้ทันสมาธิและความจำ ก่อนสายเกินไป!